top of page

มีดีแต่ขายไม่เป็น? ถอดรหัส 5 เคล็ดลับเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเงินล้านจาก "Expert Secrets"

  • Writer: Veerachai Raksupakijkul
    Veerachai Raksupakijkul
  • Aug 5
  • 2 min read

คุณเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ในเรื่องอะไรสักอย่างใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ คุณรู้ดีว่าคุณมีความสามารถ มีไอเดียเจ๋งๆ ที่พร้อมจะช่วยคนอื่นได้

แต่พอจะทำเป็นธุรกิจจริง กลับไปไม่เป็น... ไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้คนเข้าใจว่าสิ่งที่คุณมีมันดีแค่ไหน ไม่รู้จะทำการตลาดอย่างไรให้คนยอมจ่ายเงิน สุดท้ายไอเดียสุดเจ๋งนั้นก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ

ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว วันนี้คือวันของคุณครับ เราจะมาถอดรหัสหนังสือ "Expert Secrets" ของ Russell Brunson ผู้ที่ "แคร็กเดอะโค้ด" ของการเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว และนี่คือ 5 เคล็ดลับสำคัญที่จะเปลี่ยนเกมของคุณไปตลอดกาล


เคล็ดลับที่ 1: หา "น่านน้ำ" ของเราให้เจอ (Find Your Market)


ก่อนจะคิดเรื่องสินค้า สิ่งแรกสุดคือการหา "กลุ่มคน" หรือ "ตลาด" ของเราให้เจอ คุณ Brunson บอกว่าธุรกิจที่สำเร็จส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์แค่ 3 เรื่องนี้เท่านั้น:

  1. ความมั่งคั่ง (Wealth): อยากรวยขึ้น อยากมีอิสรภาพทางการเงิน

  2. สุขภาพ (Health): อยากแข็งแรงขึ้น อยากสวยหล่อดูดีขึ้น

  3. ความสัมพันธ์ (Relationships): อยากมีแฟน อยากมีความสัมพันธ์ที่ดี

ความเชี่ยวชาญของคุณช่วยแก้ปัญหาในเรื่องไหน? และที่ลึกลงไปกว่านั้น สิ่งที่คนมองหาจริงๆ คือ "สถานะ" (Status) ที่สูงขึ้น พวกเขาอยากรู้สึกดีกับตัวเอง อยากได้รับการยอมรับ การซื้อสินค้าของเราช่วยยกระดับสถานะทางความรู้สึกของเขาได้หรือไม่?

เมื่อเจอแล้ว ให้เช็กอีก 2 ข้อสำคัญ:

  • คนในนั้น "อิน" กันเบอร์ไหน? ตลาดที่ดีจะมีแพสชั่นสูง มีศัพท์เฉพาะ มีกลุ่มคุยกันคึกคัก

  • (สำคัญมาก) พวกเขามีเงินและ "พร้อมเปย์" ไหม? ตลาดต้อง "เจ็บปวด" พอที่จะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อ "ยาแก้ปวด" จากเรา


เคล็ดลับที่ 2: เป็น "ปลาใหญ่ในบ่อเล็ก" (Be a Big Fish in a Small Pond)


เมื่อได้ตลาดหลักแล้ว (เช่น สุขภาพ) ให้เจาะให้แคบลงไปอีก (เช่น ลดน้ำหนัก) และแคบลงไปอีก (เช่น ลดน้ำหนักสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ไม่มีเวลา)

นี่คือหัวใจสำคัญ: "อย่ากระโดดลงไปในมหาสมุทรเพื่อสู้กับปลาฉลาม"

ให้เรา "สร้างสระน้ำส่วนตัวเล็กๆ ของเราขึ้นมา แล้วเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในสระนั้น" หรือก็คือการ "สร้างหมวดหมู่ใหม่ (Create a New Category)" ที่ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของขึ้นมาเอง

ตัวอย่างสุดคลาสสิก: สบู่ Dove ในยุคที่ทุกคนแข่งกันว่าเป็น "สบู่ฆ่าเชื้อโรค" Dove ไม่ได้ลงไปเล่นเกมนั้น แต่สร้างสระน้ำใหม่ของตัวเองขึ้นมาแล้วประกาศว่า "เราคือสบู่ที่ให้ความชุ่มชื้น"ทันใดนั้น Dove ก็กลายเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในสระที่ชื่อว่า "สบู่บำรุงผิว" โดยไม่ต้องไปสู้กับใครเลย

เคล็ดลับที่ 3: คุณคือ "ผู้นำ" ไม่ใช่ "คนขายของ"


ถ้าอยากให้ธุรกิจยั่งยืน คุณต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตจาก "คนขายของ" มาเป็น "ผู้นำ" ที่สร้าง "การเคลื่อนไหว" (Movement)

คนขายของธรรมดาคือคนขายกีตาร์ แต่ผู้นำการเคลื่อนไหวคือวง Bodyslam ที่ขายความเป็น "ชาวร็อก" ขายพลังงาน ขายความเชื่อ และขาย "ตัวตน" ที่แฟนคลับจะได้รับเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา

การเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง ต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก:


1. ผู้นำที่มีเสน่ห์ (A Charismatic Leader) คนอาจเข้ามาเพราะสินค้า แต่จะอยู่ต่อเพราะ "ตัวตน" ของคุณ จงสร้างตัวตนให้คนเข้าถึงและเชื่อใจเหมือนเป็น "รุ่นพี่" ที่จะนำทางพวกเขา โดย:

  • เป็นพวกเดียวกับเขา: สร้างศัตรูร่วมกัน (เช่น ความเชื่อเก่าๆ ที่ไม่ได้ผล) เพื่อสร้างทีมเวิร์ก

  • แบ่งปันความรู้ทุกวัน: ใช้เคล็ดลับ "Document, Don't Create" คือไม่ต้องสร้างบทหนังที่สมบูรณ์แบบทุกวัน แต่ให้ถ่ายทำ "เรียลลิตี้โชว์" ของการเรียนรู้ในแต่ละวันของคุณแทน มันจริงใจและน่าติดตามกว่าเยอะ

2. วิสัยทัศน์ของตัวตนใหม่ (An Inspiring Vision) จำไว้เสมอว่า "คนไม่ได้ซื้อสว่าน เขาซื้อรูบนกำแพง" และลึกลงไปกว่านั้น เขาซื้อ "ความรู้สึกของการเป็นพ่อบ้านที่เก่ง ที่แขวนรูปครอบครัวสวยๆ ได้ด้วยตัวเอง" หน้าที่ของเราคือการขาย "ตัวตนใหม่" ที่เป็นผลลัพธ์สุดท้าย ไม่ใช่ขายตัวสินค้า

3. โอกาสใหม่ (A New Opportunity) สินค้าของคุณต้องเป็น "โอกาสใหม่" ที่เปลี่ยนเกม ไม่ใช่แค่ "ของที่ดีขึ้น" เหมือนที่ Steve Jobs ไม่ได้สร้าง "เครื่องเล่นซีดีที่ดีขึ้น" แต่สร้าง "iPod" ซึ่งเป็นวิธีใหม่ในการพกเพลงนับพันไปได้ทุกที่


เคล็ดลับที่ 4: ขาย "สูตรอาหาร" ไม่ใช่แค่ "วัตถุดิบ"


เคล็ดลับนี้สุดยอดมาก! อย่าขายสินค้าเดี่ยวๆ แต่จงขายมันพร้อมกับ "เฟรมเวิร์ก" (Framework)

สินค้าของเราอาจเป็นเหมือน "แป้งสาลีชั้นเลิศ" แต่เฟรมเวิร์กคือ "สูตรทำเค้กฉบับมิชลินสตาร์" ที่บอกทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าใครๆ ก็ทำตามแล้วสำเร็จได้จริง

"สูตรอาหาร" หรือเฟรมเวิร์กนี้ จะเพิ่มมูลค่าให้สินค้าของคุณมหาศาล และทำให้คนรู้สึกว่าความสำเร็จมันจับต้องได้ง่ายขึ้นเยอะ


เคล็ดลับที่ 5: ใช้ "เรื่องเล่า" เป็นสะพานเชื่อมใจ (The Epiphany Bridge)


เราจะนำเสนอทั้งหมดที่ว่ามานี้ให้คนเชื่อและซื้อได้อย่างไร? คำตอบคือ "การเล่าเรื่อง"

คนเราตัดสินใจซื้อด้วย "อารมณ์" แล้วค่อยหา "เหตุผล" มาสนับสนุนทีหลัง เราต้องใช้เรื่องเล่าเพื่อสร้างสะพานไปเชื่อมกับหัวใจของพวกเขา ผ่านเฟรมเวิร์กที่เรียกว่า "The Epiphany Bridge" หรือ "สะพานแห่งการปิ๊งแว๊บ" ซึ่งเปรียบเสมือน "ตัวอย่างหนัง" 5 ฉากที่จะทำให้คนอยากซื้อตั๋วดูหนังเต็มเรื่องของคุณ:

  1. ฉากที่ 1: ชีวิตก่อนเจอทางสว่าง (The Introduction): เล่าปัญหาของคุณที่เหมือนกับที่ผู้ฟังกำลังเจอ ทำให้เขารู้สึกว่า "นี่มันชีวิตเราชัดๆ!"

  2. ฉากที่ 2: การเดินทางสุดลำบาก (The Journey & Conflict): เล่าความล้มเหลว การลองผิดลองถูกของคุณ ทำให้คนดูเอาใจช่วย

  3. ฉากที่ 3: จุดเปลี่ยนสำคัญ! (The Aha! Moment): เล่าถึงวินาทีที่คุณ "ปิ๊งแว๊บ" เจอทางออก ทำให้คนดูตื่นเต้นไปกับคุณ

  4. ฉากที่ 4: เผยของวิเศษ (The Framework): โชว์ "เฟรมเวิร์ก" ของคุณเป็นน้ำจิ้ม บอกแค่ว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่ ยังไม่บอกวิธีทำทั้งหมด เพื่อสร้างความ "อยากรู้" จนทนไม่ไหว

  5. ฉากที่ 5: ความสำเร็จ (The Successes): โชว์ผลลัพธ์ว่าเฟรมเวิร์กนี้ช่วยให้ชีวิตคุณและ "คนอื่นๆ" ดีขึ้นได้อย่างไร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า "ถ้าคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้!"


บทสรุป: จาก 'คนขาย' สู่ 'ผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจ'


จะเห็นว่า "Expert Secrets" คือการเปลี่ยนมุมมองทั้งหมด จากการพยายาม "ผลัก" สินค้าไปหาลูกค้า มาเป็นการ "ดึงดูด" ลูกค้าให้เข้ามาหาเราด้วยการเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือ มีเรื่องราวที่น่าติดตาม และมีเฟรมเวิร์กที่ทำให้ความสำเร็จเป็นเรื่องง่าย

หวังว่าเคล็ดลับเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณลองนำความรู้ความสามารถที่มี ออกมาสร้างเป็นธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและช่วยเหลือผู้คนได้อย่างที่คุณฝันไว้ครับ

Comments


  • Facebook
  • Youtube
  • Instagram
  • Spotify

© 2025 
Powered by NewVeerachai

กรอกอีเมล์เพื่อรับข่าวสารจากเรา

bottom of page