Business Unpacked EP.1 | สงครามส่งด่วน แกะกล่องธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนในประเทศไทย
- Veerachai Raksupakijkul
- Jun 7
- 2 min read

เจาะลึกธุรกิจ "ขนส่งพัสดุด่วน" ในไทย: โมเดลทำเงิน-ข้อดี-ความท้าทาย และอนาคตที่ยังน่าสนใจ
สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน!
เชื่อว่านาทีนี้คงไม่มีใครไม่เคยใช้บริการ “สั่งของออนไลน์” กันแล้วใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะกดสั่งของใช้เข้าบ้าน ช้อปปิ้งเสื้อผ้าแฟชั่น หรือแม้กระทั่งส่งของขวัญให้คนพิเศษ การรอ “พี่ไรเดอร์” มาส่งพัสดุหน้าบ้าน กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว
เคยสงสัยกันไหมครับว่า ธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนที่วิ่งกันขวักไขว่อยู่ทุกวันนี้ เขามีวิธีการทำงานกันอย่างไร? ทำเงินจากตรงไหน? แล้วในวันที่การแข่งขันดุเดือดเผาขนขนาดนี้ มันยังน่าสนใจอยู่จริงหรือ?
วันนี้เราจะมา "Unpack" ทุกซอกทุกมุมของธุรกิจนี้แบบเข้าใจง่ายๆ กันเลยครับ!
เจาะโมเดลธุรกิจ: เขาทำงานกันยังไง?
หัวใจหลักของธุรกิจขนส่งพัสดุในบ้านเรา คือการสร้าง "เครือข่าย" ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ เพื่อจัดการพัสดุจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน โดยโมเดลที่นิยมใช้กันก็คือ:
โมเดล Hub-and-Spoke (ดุมล้อและซี่ล้อ): ลองนึกภาพล้อจักรยานตามนะครับ จะมี "Hub" หรือศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้าขนาดใหญ่ เป็นเหมือนดุมล้อกลาง ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ เช่น ใกล้นิคมอุตสาหกรรมหรือสนามบิน พัสดุจากทั่วประเทศจะถูกส่งมารวมกันที่นี่เพื่อคัดแยกตามพื้นที่ ก่อนจะกระจายต่อไปยัง "Spoke" หรือศูนย์ย่อยๆ ตามจังหวัดและอำเภอต่างๆ เพื่อเตรียมนำส่งถึงมือเรา โมเดลนี้ช่วยให้จัดการของจำนวนมากได้อย่างเป็นระบบครับ
โมเดลแฟรนไชส์ หรือ จุดรับ-ส่งพัสดุ (Drop-off Points): ที่เราเห็นร้านรับส่งพัสดุตามร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วย หรือแม้แต่ร้านกาแฟ นี่คือกลยุทธ์สุดฉลาดในการขยายจุดบริการให้ครอบคลุมอย่างรวดเร็ว โดยที่บริษัทแม่ไม่ต้องลงทุนสร้างสาขาเองทั้งหมด ทำให้เราในฐานะลูกค้าเข้าถึงบริการได้ง่ายมากๆ
หัวใจสำคัญคือ Last-Mile Delivery: ต่อให้ระบบหลังบ้านดีแค่ไหน แต่ถ้าขั้นตอนสุดท้าย หรือ "การจัดส่งถึงมือผู้รับ" สะดุดก็จบครับ ประสบการณ์ของลูกค้าวัดกันตรงนี้เลย ทั้งความรวดเร็ว, การโทรแจ้งล่วงหน้า, สภาพของพัสดุที่สมบูรณ์ ไปจนถึงความสุภาพของพี่ไรเดอร์ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจและความภักดีต่อแบรนด์ได้ครับ
บริษัทขนส่งต่างก็มีระบบหลังบ้านสุดล้ำ
เทคโนโลยี: สมองกลเบื้องหลังความเร็ว
ในยุคนี้ถ้าไม่มีเทคโนโลยีก็คงแข่งกับใครเขาลำบากครับ บริษัทขนส่งต่างก็มีระบบหลังบ้านสุดล้ำที่คอยช่วยจัดการทุกอย่างให้ราบรื่น ไม่ว่าจะเป็น:
ระบบจัดการการขนส่ง (TMS): ช่วยวางแผนเส้นทางที่ประหยัดและเร็วที่สุด ติดตามรถขนส่ง และลดการวิ่งรถเที่ยวเปล่า
ระบบติดตามพัสดุ (Tracking System): อันนี้เราคุ้นเคยกันดี ทำให้เราเช็คสถานะพัสดุได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ หรือเว็บไซต์ สร้างความอุ่นใจทั้งคนส่งและคนรับ
แอปพลิเคชันสำหรับไรเดอร์: ช่วยให้พี่ๆ พนักงานจัดส่งทำงานง่ายขึ้น มีระบบนำทาง, รับ-ส่งงาน, และติดต่อศูนย์ควบคุมได้ในที่เดียว
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics): ข้อมูลการส่งทั้งหมดจะถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อคาดการณ์ปริมาณพัสดุในช่วงแคมเปญใหญ่ๆ หรือปรับปรุงเส้นทางให้ดียิ่งขึ้น
เปิดกระเป๋าตังค์: รายได้มาจากไหนบ้าง?
เมื่อมีบริการเยอะขนาดนี้ ช่องทางทำเงินก็หลากหลายตามไปด้วยครับ หลักๆ เลยก็คือ:
ค่าบริการขนส่ง: เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจ คิดตามน้ำหนัก ขนาด ระยะทาง และความเร็วในการส่ง
ค่าบริการเก็บเงินปลายทาง (COD Fee): อีกหนึ่งรายได้สำคัญในบ้านเรา เพราะคนไทยยังนิยมจ่ายเงินสดตอนรับของ ผู้ขายก็ยินดีจ่ายค่าธรรมเนียมส่วนนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
ค่าบริการเสริมต่างๆ (Value-Added Services):
ค่าประกันพัสดุ: สำหรับของมีค่าที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่ม
ค่าบริการหีบห่อ: บางสาขามีกล่อง ซอง และอุปกรณ์กันกระแทกขาย พร้อมบริการแพ็คให้
ค่าบริการส่งคืนสินค้า (Reverse Logistics): การจัดการนำสินค้าที่ลูกค้าไม่รับหรือต้องการคืนกลับไปยังผู้ขาย ก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ค่าแฟรนไชส์: สำหรับบริษัทที่ขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ก็จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมแรกเข้าและส่วนแบ่งรายได้
ลูกค้าองค์กร (B2B Solutions): การทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทหรือร้านค้าอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่มีปริมาณการส่งมหาศาล ถือเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคง
บริการ Fulfillment ครบวงจร: บางเจ้าใหญ่ๆ ไม่ได้แค่ส่งของ แต่ให้บริการตั้งแต่ให้เช่าคลังสินค้า (Warehousing), หยิบและแพ็คของตามออเดอร์ (Pick & Pack) ไปจนถึงจัดส่ง เรียกว่าดูแลหลังบ้านให้ร้านค้าออนไลน์แบบเบ็ดเสร็จ
ทุกธุรกิจมีสองด้านเสมอ
มีดี ก็ต้องมีเสีย: ส่องข้อดีและความท้าทาย
ทุกธุรกิจมีสองด้านเสมอ เรามาดูภาพรวมของธุรกิจนี้กันครับ
ข้อดี 👍
ตลาดเติบโตสูง: เติบโตไปพร้อมกับตลาดอีคอมเมิร์ซที่ยังคงขยายตัวไม่หยุด
ความต้องการต่อเนื่อง: การขนส่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันและในภาคธุรกิจ
โอกาสสร้างแบรนด์: ถ้าบริการดีเยี่ยม ส่งเร็ว ส่งตรงเวลา ก็สามารถสร้างความภักดีของลูกค้าได้
สร้างงานสร้างอาชีพ: เป็นธุรกิจที่ต้องการแรงงานจำนวนมากในหลายส่วน ตั้งแต่พนักงานคัดแยกไปจนถึงพี่ๆ ไรเดอร์
ข้อเสีย (หรือความท้าทาย) 👎
การแข่งขันสูงมาก (Red Ocean): ผู้เล่นเยอะ ทั้งรายใหญ่ระดับโลกและรายย่อยในไทย ทำให้เกิดสงครามราคา ตัดกำไรกันเอง
ต้นทุนสูง: ทั้งค่าน้ำมันที่ผันผวน, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าบำรุงรักษารถ และการลงทุนในเทคโนโลยี
บริหาร Last-Mile ยาก: ปัญหารถติดในเมือง หรือพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงลำบาก เป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากและซับซ้อน
ความคาดหวังของลูกค้าสูง: ลูกค้ายุคใหม่ต้องการความเร็ว เป๊ะ และบริการที่ดีเยี่ยม หากพลาดก็พร้อมจะคอมเพลนบนโลกโซเชียลทันที
ปัญหาด้านบุคลากร: การหาและรักษาพนักงานขนส่งที่มีคุณภาพเป็นเรื่องท้าทาย เพราะเป็นงานหนักและเครียด อัตราการลาออกจึงค่อนข้างสูง

คำถามสุดท้าย: แล้วธุรกิจนี้ยังน่าสนใจอยู่ไหม?
ในมุมมองส่วนตัว ผมคิดว่าธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน "ยังคงน่าสนใจและมีศักยภาพสูงมาก" ครับ
แม้การแข่งขันจะดุเดือด แต่ตราบใดที่คนยังช้อปปิ้งออนไลน์ ธุรกิจนี้ก็จะยังเติบโตควบคู่กันไปเสมอ มันได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจดิจิทัลไปแล้ว ที่สำคัญ ยังมีช่องว่างให้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้เสมอ เช่น การขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (อาหารสด, ยา), การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อสร้างจุดขายเรื่องความยั่งยืน หรือการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่ผู้เล่นรายใหญ่ยังเข้าไม่ถึง
เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม สำหรับคนสนใจธุรกิจนี้
เรื่องกฎหมาย: ต้องศึกษาข้อบังคับการขนส่งและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคให้ดี
เทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability): การใส่ใจสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรงและช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
ความร่วมมือทางธุรกิจ: การจับมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหรือร้านค้าต่างๆ ช่วยขยายฐานลูกค้าได้ดี
การบริหารช่วงพีค: ช่วงแคมเปญ 11.11 หรือ 12.12 ถือเป็นบททดสอบสำคัญ ต้องวางแผนรับมือปริมาณพัสดุที่เพิ่มขึ้นมหาศาลให้ดี
ความปลอดภัยของข้อมูล: การปกป้องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในยุคนี้
หวังว่าการ "Unpack" ธุรกิจขนส่งพัสดุในครั้งนี้ จะทำให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพรวมและเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของวงการนี้กันมากขึ้นนะครับ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าติดตามจริงๆ ครับ
หากใครชื่นชอบการฟัง Podcast สรุปหนังสือต่าง ๆ หรือการวิเคราะห์ธุรกิจ สามารถไปฟังได้ที่ YouTube : NewVeerachai ได้ทุกเช้าเวลา 07:00 ครับ
Comments