อ่านแล้วลืม? เปลี่ยนการอ่านธรรมดาให้ "ฉลาดขึ้น" ด้วยเทคนิคจาก "How to Read a Book"
- Veerachai Raksupakijkul
- Aug 5
- 2 min read
คุณเคยเป็นแบบนี้ไหมครับ? เห็นหนังสือดีๆ ก็อดใจไม่ไหว ซื้อมาเก็บไว้เต็มชั้น ตั้งใจว่าจะอ่านให้หมด แต่พอมีคนมาถามว่าเล่มนั้นเกี่ยวกับอะไร เรากลับอธิบายได้ไม่เต็มปากเต็มคำ หรือที่หนักกว่านั้นคือ อ่านจบไปแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้อะไรติดหัวมาเลย เหมือนแค่กวาดสายตาผ่านตัวอักษรไปจนถึงหน้าสุดท้าย
ถ้าคุณกำลังพยักหน้าอยู่ ไม่ต้องกังวลครับ คุณไม่ได้เป็นคนเดียว และปัญหานี้มีทางออก วันนี้เราจะมาสรุปแก่นสำคัญจากหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตการอ่านของคนทั่วโลกมาแล้วอย่าง "How to Read a Book" ของ Mortimer J. Adler และ Charles van Doren กันครับ
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้อ่านเร็ว แต่จะสอนให้เรา "อ่านเป็น" สอนให้เราตกปลาเป็น ไม่ใช่แค่รอรับปลา เพื่อให้เราดึงคุณค่าจากหนังสือทุกเล่มออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด
ทำไมเราถึงอ่านแล้วไม่เข้าหัว ?
ผู้เขียนชี้ให้เห็นปัญหาที่น่าสนใจว่า คนส่วนใหญ่หยุดพัฒนา "ทักษะการอ่าน" ไว้แค่ตอนชั้นประถม คือพอเราอ่านออกเสียงได้ สะกดคำถูก เราก็คิดว่านั่นคือทั้งหมดแล้ว แต่ความจริงมันเป็นแค่การวอร์มอัพเท่านั้น
ในยุคก่อนที่โลกจะมีอินเทอร์เน็ตหรือทีวี "หนังสือ" คือสื่อหลักในการส่งต่อความคิดที่ซับซ้อน การอ่านในยุคนั้นจึงเป็นการอ่านเพื่อความเข้าใจไปโดยปริยาย แต่เมื่อมีเทคโนโลยีอย่าง "โทรเลข" หรือ "ภาพถ่าย" เข้ามา ผู้คนก็เริ่มหันไปสนใจข้อมูลที่สั้น กระชับ ฉับไว ทำให้ การอ่านเพื่อความเข้าใจลึกซึ้ง (Reading for Comprehension) กลายเป็นทักษะพิเศษที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกฝนกันอีกต่อไป
คุณกำลังอ่านแบบไหน? อ่านเพื่อ "เก็บข้อมูล" vs อ่านเพื่อ "ความเข้าใจ"
ผู้เขียนแบ่งการอ่านออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ เพื่อให้เราเห็นภาพชัดขึ้น
การอ่านเพื่อเก็บข้อมูล (Reading for Information): เปรียบเหมือนการไปซูเปอร์มาร์เก็ต เราซื้อวัตถุดิบต่างๆ กลับมาเก็บไว้ในตู้เย็น ของในตู้เย็นเราเยอะขึ้นก็จริง แต่เราก็ยังทำอาหารไม่เป็นอยู่ดี การอ่านแบบนี้คือการรับข้อมูลเข้ามาตรงๆ ไม่ได้ท้าทายความเข้าใจเดิมของเราเท่าไหร่นัก
การอ่านเพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง (Reading for Comprehension): นี่คือพระเอกของเราครับ! มันเปรียบเหมือนการไปลงเรียนคลาสทำอาหาร เราไม่ได้แค่มีวัตถุดิบเพิ่ม แต่เรารู้ว่าจะนำวัตถุดิบนั้นไปปรุงอย่างไรให้อร่อย การอ่านแบบนี้คือการเผชิญหน้ากับหนังสือที่ท้าทายความคิดเรา ทำให้เราต้องพยายามทำความเข้าใจไอเดียใหม่ๆ ที่ซับซ้อน และมันจะเปลี่ยนมุมมองของเราไปเลย
เป็น "นักสืบ" ในโลกหนังสือ: 4 คำถามที่ต้องตอบให้ได้
เมื่อเราตั้งใจจะอ่านเพื่อความเข้าใจแล้ว ให้ลองสวมบทบาทเป็น "นักสืบ" ที่กำลังไขคดีของหนังสือเล่มนั้น โดยต้องตอบ 4 คำถามสำคัญนี้ให้ได้
(What?) หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร?: ลองสรุปใจความสำคัญของหนังสือทั้งเล่มให้ได้ภายในไม่กี่ประโยค
(How?) ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวอย่างไร?: เขาใช้โครงสร้างแบบไหน มีหลักฐานหรือการให้เหตุผลอะไรในการโน้มน้าวเรา?
(Is it true?) สิ่งที่ผู้เขียนพูดน่าเชื่อถือแค่ไหน?: เราเห็นด้วยหรือไม่? มีจุดไหนที่รู้สึกว่ายังไม่สมเหตุสมผล?
(So what?) แล้วมันสำคัญกับเราอย่างไร?: เราได้เรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้ที่จะนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้บ้าง?
คำถามพิเศษสำหรับหนังสือ How-to: "ไอเดียของผู้เขียนมีขีดจำกัดไหม?" เพราะไม่ใช่ทุกคำแนะนำจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์ การตระหนักถึงข้อจำกัดจะช่วยให้เรานำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
อัปเลเวลนักอ่าน! ก้าวสู่ 4 ระดับการอ่านอย่างมืออาชีพ
นี่คือหัวใจสำคัญของหนังสือ ที่จะพาเราอัปเกรดทักษะการอ่านไปทีละขั้น
ระดับที่ 1: Elementary Reading (การอ่านระดับพื้นฐาน)
คือระดับการอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเราทุกคนผ่านระดับนี้กันมาหมดแล้ว
ระดับที่ 2: Inspectional Reading (การอ่านเพื่อสำรวจ)
ระดับนี้มีประโยชน์อย่างมหาศาล ผมขอเรียกว่า "การบินโดรนสำรวจหนังสือ" เป้าหมายคือการทำความเข้าใจภาพรวมของหนังสือทั้งเล่มให้ได้ภายในเวลาอันสั้น (ผู้เขียนแนะนำไว้ที่ประมาณ 15-30 นาที!)
เหมือนกับการเปิด Google Maps ดูก่อนเดินทาง มันช่วยให้เราเห็นแผนที่ทั้งหมดของหนังสือว่ามีหัวข้ออะไรบ้าง โครงสร้างเป็นอย่างไร
วิธีทำ:
อ่านชื่อเรื่อง คำนำ และสารบัญอย่างละเอียด
พลิกไปดูดัชนี (Index) ท้ายเล่ม เพื่อดูว่ามีคำหรือแนวคิดสำคัญอะไรถูกพูดถึงบ่อยๆ
เปิดอ่านบทที่คิดว่าสำคัญที่สุดของเล่ม
พลิกอ่านแบบเร็วๆ (Skimming) ทั้งเล่ม มองหาหัวข้อใหญ่ ประโยคที่ขีดเส้นใต้ หรือย่อหน้าที่น่าสนใจ
กฎสำคัญ: เมื่อเจอศัพท์ยากหรือแนวคิดที่ไม่เข้าใจในขั้นตอนนี้ "อย่าเพิ่งหยุด" ให้อ่านข้ามไปก่อน เพราะเป้าหมายคือการเห็นภาพรวม ไม่ใช่การเข้าใจทุกรายละเอียด
ระดับที่ 3: Analytical Reading (การอ่านเชิงวิเคราะห์)
ถ้าการอ่านสำรวจคือการบินโดรน ระดับนี้ก็คือการส่งทีมภาคพื้นดินลงไป "ชำแหละ" หนังสืออย่างละเอียด เป็นการอ่านแบบเจาะลึก ไม่จำกัดเวลา เพื่อทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง
ขั้นตอนการอ่านเชิงวิเคราะห์:
จัดประเภทหนังสือ: บอกให้ได้ว่านี่คือหนังสือประเภทไหน (นิยาย, ประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์?)
สรุปใจความ: สรุปเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือให้ได้ในย่อหน้าเดียว (ตอบคำถาม What?)
หาโครงสร้าง: ทำความเข้าใจว่าผู้เขียนวางโครงเรื่องและนำเสนอประเด็นหลักอย่างไร (ตอบคำถาม How?)
หาคีย์เวิร์ดและประโยคสำคัญ: ค้นหาคำศัพท์ที่ผู้เขียนใช้ในความหมายพิเศษ และประโยคที่เป็นหัวใจของเรื่อง
วิจารณ์อย่างมีหลักการ: หลังจากที่เราเข้าใจหนังสืออย่างถ่องแท้แล้ว ก็ถึงเวลาวิจารณ์ แต่มีกฎเหล็กคือ "คุณต้องเข้าใจ 100% ก่อน ถึงจะมีสิทธิ์วิจารณ์" เพื่อป้องกัน "Dunning-Kruger effect" (ยิ่งรู้น้อย ยิ่งมั่นใจว่ารู้เยอะ)
การวิจารณ์ที่ดีมี 4 ประเด็นหลัก:
ผู้เขียนขาดข้อมูล (Uninformed): ให้ข้อมูลไม่เพียงพอ
ผู้เขียนข้อมูลผิด (Misinformed): ข้อมูลที่ให้มาไม่ถูกต้อง
ผู้เขียนตรรกะวิบัติ (Illogical): การให้เหตุผลไม่สมเหตุสมผล
การวิเคราะห์ไม่สมบูรณ์ (Incomplete): อาจจะพูดถูก แต่ยังวิเคราะห์ไม่ครบทุกแง่มุม
ระดับที่ 4: Syntopical Reading (การอ่านเชิงเปรียบเทียบ)
นี่คือระดับสูงสุดของการอ่าน เปรียบเสมือนการที่เราเป็น "ผู้จัดงานเสวนาโต๊ะกลม" โดยเชิญนักคิดจากหนังสือหลายๆ เล่มมาถกกันในหัวข้อที่เราสนใจ
สมมติว่าเราอยากรู้เรื่อง "ความสุข" เราก็ต้องไปรวบรวมหนังสือที่เกี่ยวข้องมา แล้วทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ:
สร้างรายชื่อหนังสือ: รวบรวมหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ
สร้างภาษากลาง: นักคิดแต่ละคนอาจใช้คำศัพท์ต่างกัน เราต้องหาจุดร่วมและนิยามคำศัพท์ที่เป็นกลางขึ้นมา
ตั้งคำถามหลัก: สร้างชุดคำถามเพื่อให้หนังสือแต่ละเล่ม "ตอบ"
วิเคราะห์บทสนทนา: เปรียบเทียบมุมมองของนักเขียนแต่ละคนว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไรในแต่ละประเด็น
สรุปภาพรวม: สรุป "ภาพรวมของการถกเถียงทั้งหมด" ในหัวข้อนั้นๆ อย่างเป็นกลางที่สุด
เคล็ดลับสำหรับหนังสือแต่ละประเภท
หนังสือ How-to: อ่านแล้วต้องถามตัวเองว่า "แล้วไงต่อ?" และนำไป "ลงมือทำ"
วรรณกรรม/นิยาย: อ่านเพื่อเสพ "ประสบการณ์" และ "อารมณ์" พยายามอ่านรวดเดียวให้จบเพื่อดำดิ่งไปกับเรื่องราว
หนังสือประวัติศาสตร์: อ่านอย่างนักสืบที่คอยจับอคติ เพราะประวัติศาสตร์มักถูกเขียนโดยผู้ชนะ การอ่านจากหลายแหล่งจะช่วยให้เห็นภาพที่ครบถ้วนขึ้น
บทสรุป: จากผู้อ่านสู่ "นักสนทนา"
จะเห็นได้ว่าการอ่านมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะครับ ครั้งต่อไปที่หยิบหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมา ลองใช้เวลาสัก 15 นาที "บินโดรนสำรวจหนังสือ" ดูก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกตั้งคำถามแบบ "นักสืบ" ตามไป
คุณจะพบว่าโลกการอ่านของคุณเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่การกวาดสายตาผ่านตัวอักษรอีกต่อไป แต่มันคือการได้เข้าไปนั่ง "สนทนา" กับนักคิดที่ฉลาดที่สุดในโลก ผ่านมรดกทางปัญญาที่เขาทิ้งไว้ให้เราครับ
Comments