top of page

สรุปหนังสือ The Diary of a CEO

  • Writer: Veerachai Raksupakijkul
    Veerachai Raksupakijkul
  • Jun 9
  • 2 min read
Book titled "The Diary of a CEO" on a wooden surface, white wall backdrop. Text: "The 33 Laws of Business and Life" and "สรุปหนังสือ".
สรุปหนังสือ The Diary of a CEO

เคยไหมครับที่รู้สึกว่าหนังสือธุรกิจส่วนใหญ่มักจะแห้งแล้งและเต็มไปด้วยทฤษฎีจ๋า? ถ้าเคย วันนี้ผมอยากจะชวนมาคุยถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่จะเปลี่ยนความคิดนั้นไปเลยครับ นั่นคือ "The Diary of a CEO" ผลงานของ Steven Bartlett ที่ไม่ได้เป็นแค่คู่มือทำธุรกิจ แต่เป็นเหมือนคู่มือการใช้ชีวิตให้มีความหมายและสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลก


ก่อนอื่น Steven Bartlett คือใคร?


หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเขาในฐานะพิธีกรพอดแคสต์ชื่อดัง "The Diary of a CEO" ที่สัมภาษณ์บุคคลระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น เขาคือสุดยอดนักธุรกิจที่ก่อตั้งบริษัท Social Chain เอเจนซี่การตลาดโซเชียลมีเดียตั้งแต่อายุแค่ 21 ปี!


สิ่งที่ทำให้มุมมองของ Bartlett น่าสนใจคือ เขายังเป็นผู้เขียนหนังสือ "Happy Sexy Millionaire" ที่เตือนใจเราว่าเงินทองและชื่อเสียงไม่ใช่คำตอบของความสุขเสมอไป ทำให้บทเรียนของเขามีความลุ่มลึกและสมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ


ในบทความนี้ ผมจะสรุปแก่นสำคัญของหนังสือออกมาเป็น 4 ส่วนหลักๆ ที่จะเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตและการทำงานของคุณไปเลย มาเริ่มกันเลยครับ!


Woman in gray sweater working on a laptop at a wooden table by a window. Books and a coffee cup are nearby, creating a focused mood.
การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

ส่วนที่ 1: การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย (The Four Pillars of a Meaningful Life)


1. คิดถึงความตาย เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

ฟังดูอาจจะน่าหดหู่นะครับ แต่ Bartlett กลับมองว่าการตระหนักว่าเวลาของเรามีจำกัด คือกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกให้เราใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด ลองนึกตามดูสิครับ ถ้าเรารู้ว่าทุกชั่วโมงที่เสียไปคือสิ่งที่เราเรียกคืนมาไม่ได้ เราจะพิถีพิถันกับการใช้เวลามากขึ้น และเลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริงๆ และแน่นอนว่าเมื่อเวลามีจำกัด "สุขภาพ" จึงต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพราะร่างกายที่ดีคือเครื่องมือเดียวที่จะพาเราไปทำตามความฝันได้


2. สร้างผลกระทบให้โลกรู้ ด้วยสินทรัพย์ 5 ขั้นตอน

Bartlett บอกว่าการจะสร้างอิมแพ็คที่ยิ่งใหญ่ได้ ต้องสร้างสินทรัพย์ 5 อย่างนี้ตามลำดับ ห้ามลัดขั้นตอนเด็ดขาด!


ความรู้และทักษะ: เริ่มจากสร้างความเชี่ยวชาญให้ตัวเองก่อน

ความสัมพันธ์: เมื่อคุณเก่ง คนจะอยากเข้ามาทำงานด้วย

เงินทุน: สะสมทรัพยากรเพื่อต่อยอด

ชื่อเสียง: ทำให้โลกรู้ว่าคุณคือตัวจริงในสิ่งที่คุณทำ

ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่: ใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

คนที่พยายามสร้างชื่อเสียงก่อนจะมีทักษะ ก็เหมือนนักร้องที่ดังจากคลิปไวรัลแต่ร้องเพลงไม่เก่ง สุดท้ายก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว


3. เปลี่ยน "ความเครียด" ให้เป็น "พลังบวก"

เรามักมองว่าความเครียดเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ Bartlett ชวนให้เรามองใหม่ ถ้าความเครียดนั้นมาจากสิ่งที่มีความหมายต่อเรา ลองเปลี่ยนวิธีคิดจาก "โอ๊ย เครียดจัง" เป็น "นี่คือพลังงานที่ร่างกายกำลังเตรียมพร้อมให้ฉันทำเรื่องสำคัญให้สำเร็จ" ความคิดแค่นี้จะเปลี่ยนความกดดันให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ที่ทำให้เราคิดได้เฉียบคมและมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น


4. สร้างความเชื่อมั่น ด้วยการ "ลงมือทำ"

ความมั่นใจไม่ได้เกิดจากการนั่งบอกตัวเองหน้ากระจก แต่เกิดจากการ "ลงมือทำ" ในสิ่งที่สอดคล้องกับคนที่เราอยากจะเป็น ทุกการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ คือการลงคะแนนเสียงให้กับตัวตนของเรา ยิ่งคุณเลือกทำในสิ่งที่คนเข้มแข็งเขาทำกัน คุณก็จะยิ่งเชื่อว่าตัวเองเข้มแข็ง และมันจะกลายเป็นวงจรบวกที่ขับเคลื่อนชีวิตคุณไปข้างหน้า


Four people in office attire smiling and high-fiving indoors, expressing teamwork and joy. Soft lighting and neutral background.
การบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ส่วนที่ 2: การบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ (The Keys to Business Success)


1. สร้างวัฒนธรรมแห่งการ "ทดลอง" (และล้มเหลว)

จุดนี้เป็นอะไรที่ผมชอบมากเป็นพิเศษครับ Bartlett สนับสนุนให้องค์กรกล้าที่จะทดลอง แม้จะต้องเจอกับความล้มเหลว เพราะทุกความผิดพลาดคือบทเรียนราคาแพงที่หาไม่ได้จากตำรา เขาแนะนำให้:


สร้างทีมเล็กๆ ที่ตัดสินใจได้รวดเร็ว

ให้อิสระและทรัพยากรอย่างเต็มที่

ลดขั้นตอนการอนุมัติที่ยุ่งยาก

ให้รางวัลกับ "ความกล้า" ที่จะทดลอง ไม่ใช่แค่กับ "ความสำเร็จ"

เพราะบางครั้ง การทดลองที่สำเร็จเพียงครั้งเดียว อาจสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความล้มเหลวอีกนับร้อยครั้งเลยก็ได้


2. โฟกัสที่การปรับปรุงเล็กๆ (The 1% Rule)

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงตูมเดียว แต่เกิดจากการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เหมือนเว็บ E-commerce ที่ทดลองเปลี่ยนสีปุ่ม เปลี่ยนฟอนต์ แค่เพียงเล็กน้อย แต่พอทำเป็นร้อยๆ ครั้ง ผลรวมของมันอาจเพิ่มยอดขายได้อย่างมหาศาล ในทางกลับกัน การเมินปัญหาเล็กๆ ก็อาจสะสมจนกลายเป็นหายนะได้เช่นกัน


3. Premortem: คิดว่าจะเจ๊งยังไง ก่อนจะเริ่มทำ

เป็นเทคนิคที่ฉลาดและน่าทึ่งมาก แทนที่เราจะรอให้โครงการล้มเหลวแล้วค่อยมาวิเคราะห์ (Postmortem) Bartlett แนะนำให้เราทำ "Premortem" คือการ จินตนาการล่วงหน้าไปเลยว่า "โครงการนี้เจ๊งไปแล้ว" แล้วระดมสมองกันว่า "อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มันล้มเหลว?" วิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นจุดบอดที่อาจมองข้ามและเตรียมแผนรับมือไว้ได้ก่อน


4. จ้างคนที่เก่งกว่าคุณให้ได้

ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความสามารถของคุณ แต่ถูกจำกัดด้วย "ทีม" ที่คุณสร้างขึ้น อย่ากลัวที่จะจ้างคนเก่งกว่า เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้ธุรกิจของคุณไปได้ไกลกว่าขีดจำกัดของตัวคุณเอง


A group of people in a meeting room discuss around a table with a laptop and whiteboard. Bright natural light through large windows. Business attire.
ความเป็นทีมเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานเสมอของทุก ๆ ความสำเร็จ

ส่วนที่ 3: การบริหารทีมอย่างมีประสิทธิภาพ (Mastering Team Management)


1. วัฒนธรรมองค์กรต้องเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา

Bartlett ชี้ว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่สิ่งที่ตั้งแล้วจะอยู่แบบนั้นตลอดไป แต่ควรปรับให้เข้ากับช่วงการเติบโตของบริษัท


ช่วงเริ่มต้น (Startup Phase): สร้างวัฒนธรรมแบบ "คลั่งไคล้" (Obsessed) ที่ทุกคนทุ่มสุดตัวเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจเปลี่ยนโลก

ช่วงเติบโต (Growth Phase): เปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมแบบ "สนับสนุน" (Supportive) ที่เน้นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ให้อิสระ และปกป้องพวกเขาจากสภาวะหมดไฟ

การใช้แต่วัฒนธรรมแบบคลั่งไคล้ตลอดเวลาจะทำให้คนเก่งๆ หมดไฟและลาออกไปในที่สุด


2. เป็นโค้ชที่แตกต่างสำหรับคนที่แตกต่าง

การบริหารคนแบบ "One-size-fits-all" ไม่มีอยู่จริง ผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมต้องรู้จักลูกทีมเป็นอย่างดีและปรับสไตล์การโค้ชให้เข้ากับแต่ละคน บางคนอาจต้องการคำสั่งที่ชัดเจน ในขณะที่บางคนจะเฉิดฉายเมื่อได้อิสระในการสร้างสรรค์ การเข้าใจความต้องการที่แตกต่างนี้คือหัวใจของการดึงศักยภาพสูงสุดของทีมออกมา


Stationery set on white background with clipboard, envelope, business cards, stamps, pencils, all labeled "The New Kids in Town." Neutral tones.
การสร้างแบรนด์ที่โดดเด่นเป็นเรื่องการตลาดพื้นฐานที่ดีและสำคัญ

ส่วนที่ 4: การสร้างแบรนด์ที่โดดเด่น (Building a Standout Brand)


1. การนำเสนอสำคัญไม่แพ้ตัวสินค้า

คุณค่าของสินค้าสามารถถูกเพิ่มขึ้นได้มหาศาลด้วย "การนำเสนอ" และ "การตลาด" Bartlett ยกตัวอย่างวอดก้าราคาแพงที่จงใจขายในขวดเล็กๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าทุกหยดมีค่า หรือหูฟังที่ออกแบบมาให้ใหญ่เกินความจำเป็น เพราะคนมักเชื่อมโยงว่า "ใหญ่ = คุณภาพดี"


2. สร้างความแตกต่างที่น่าจดจำ

ในโลกที่ทุกอย่างเหมือนกันไปหมด การตลาดที่น่าเบื่อคือการตลาดที่ล้มเหลว Bartlett บอกให้เรากล้าที่จะ "แปลก" และ "สนุก" เพื่อให้คนจดจำและพูดถึง เช่น ร้านล้างรถที่ให้ล้างฟรีถ้าเอารูปถ่ายคู่กับคนดังมาติดที่ร้าน พร้อมป้ายใหญ่ๆ ว่า "เพื่อนของคนดังล้างรถที่นี่" แต่ก็ต้องหาจุดสมดุลที่พอดีระหว่างความแปลกใหม่และความคุ้นเคย ไม่ให้สุดโต่งเกินไปจนคนไม่เข้าใจ


Blonde woman in glasses working on a laptop at a white desk. Pink blouse, focused expression, green plant in background, bright setting.
คำแนะนำทางธุรกิจที่จับต้องได้ เข้ากับปรัชญาการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้ง

บทสรุป

สิ่งที่ทำให้หนังสือ "The Diary of a CEO" พิเศษกว่าเล่มอื่น คือการผสมผสานระหว่างคำแนะนำทางธุรกิจที่จับต้องได้ เข้ากับปรัชญาการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้ง Steven Bartlett ไม่ได้แค่สอนให้เรารวยหรือประสบความสำเร็จ แต่ชวนให้เราตั้งคำถามกับเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต และวิธีใช้ความสำเร็จนั้นเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับโลก


ผมเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ พนักงาน หรือใครก็ตามที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจ หนังสือเล่มนี้จะมอบบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตและการทำงานของคุณไปตลอดกาลได้อย่างแน่นอนครับ


หากใครชื่นชอบการฟัง Podcast สรุปหนังสือต่าง ๆ หรือการวิเคราะห์ธุรกิจ สามารถไปฟังได้ที่

YouTube: NewVeerachai ได้ทุกเช้าเวลา 07:00 ครับ

Comments


  • Facebook
  • Youtube
  • Instagram
  • Spotify

© 2025 
Powered by NewVeerachai

กรอกอีเมล์เพื่อรับข่าวสารจากเรา

bottom of page